วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

P-Kong project: บทที่ 2 ณ จุดเริ่มต้น..

มโนภาพนับสิบนับร้อยแย่งกันขึ้นมาแทรกแซงอยู่ในหัวของผม ภาพปลายเท้าของตัวผมเองที่เดินสาวอย่างเร่งรีบ เดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย ความรู้สึกบอกเพียงแค่ว่าตอนนั้นผมคงกำลังจะเดินหนีอะไรซักอย่างอยู่ พลันเสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นตามหลังผมเป็นระยะๆ

“ก้อง กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน อย่าเดินหนีผมแบบนี้” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกแต่ก็ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าให้ช้าลง ตรงกันข้าม ผมกลับเร่งความเร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนข้างหลังที่พยายามจะตามผมให้ทัน ท่าทีหัวเสียของผู้ชายคนนั้นทำให้ผมรู้สึกโมโหและน้อยใจ ผมรู้สึกโกรธ โกรธมาก จนสุดท้ายผมก็ชะลอฝีเท้าลงแล้วหันไปหาเค้า แต่ก็ยังก้าวถอยหลังเพื่อไม่ให้เค้าเข้ามาใกล้ผมได้ ผมตะโกนปฏิเสธออกไปจนสุดเสียง

“ไม่ ผมไม่กลับ ผมเกลียดคุณ คุณได้ยินมั้ยว่าผมเกลียดคุณ” คำพูดที่ผมรู้ตัวเองดีว่ามันขัดแย้งกับความรู้สึกที่แท้จริงในใจของผม แต่ตอนนั้นผมโมโห เกินกว่าที่ยับยั้งอารมณ์โทสะเหล่านั้นได้ ผมก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ เค้าตะโกนห้ามไม่ให้ผมก้าวถอยไปทางนั้น จนกระทั่ง..

เสียงแตรรถที่ดังลั่นทำให้ผมเหลียวหันไปมอง เสียงเบรกที่ดังครูดไปกับพื้นถนนจนรถยนต์สีขาวที่วิ่งตรงมาที่ผมด้วยความเร็วเซไปมาเพราะพยายามบังคับให้รถหยุด เสี้ยววินาทีนั้นผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ ผมต้องตาย ผมต้องตายแน่ๆ ..

เสียงโลหะที่กระแทกกับตัวผมอย่างแรงทำให้ผมเผลอบีบเนื้ออุ่นๆ ของใครคนนึงแน่น เนื้ออุ่นๆที่มันวางอยู่ในมือของผมและเมื่อผมลืมตาขึ้นมาผมก็ได้พบว่าสิ่งที่ผมบีบเมื่อครู่นั่นก็คือมือของใครคนนึงที่กุมมือผมเอาไว้ และทำให้ผมรู้ว่า ภาพที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้คือความฝัน..

ผมจ้องหน้าเจ้าของมือนั้นอยู่นาน นั่นเป็นเพราะผมรับรู้ว่าความทรงจำระหว่างผมกับเค้าคือศูนย์ ผมคิดทบทวนว่าผู้ชายที่หัวเราะร่าอย่างดีใจที่เห็นว่าผมตื่นขึ้นมาคนนี้คือใคร ถึงแม้ว่าทุกอย่างของเค้าจะทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้อยู่ดี ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเค้าโน้มตัวลงมาจูบที่หน้าผากของผม

“ไม่เป็นไรแล้วนะก้อง ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะอยู่ใกล้ๆ คุณ คอยดูแลคุณเอง”

ในที่สุด ผมก็ต้องพูดคำที่ไม่อยากจะพูดออกมา
“เอ่อ....คุณเป็นใคร.....” ผมหยุดแล้วคิดทบทวนอีกครั้ง ก่อนที่สมองของผมจะสั่งให้ผมพูดต่อ

“ผม...จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักคุณ”

ผมรู้ว่าการที่ถูกใครซักคนมาบอกเราว่าเค้าจำเราไม่ได้ มันรู้สึกแย่มากแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพยายามคิดทบทวนหาคำตอบว่าเค้าคนนี้คือใคร แต่สุดท้ายเมื่อผมรู้สึกว่าการพยายามนึกนั้นทำให้ผมรู้สึกยิ่งปวดหัว ผมจึงจำเป็นต้องถามออกไปตามตรงและบอกว่าผมจำเค้าไม่ได้ เค้าหน้าเสียไปอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่ดีใจในตอนแรกเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง เค้าขมวดคิ้วและอ้าปากกว้างเหมือนจะอึ้งๆ ไปกับความจำที่สูญหายของผม จริงๆ คนที่ควรจะรู้สึกแย่น่าจะเป็นผมมากกว่านะ ผมต่างหากคือคนที่จำอะไรไม่ได้เลย

ไม่นานนักก็มีคนเปิดประตูห้องเข้ามาหาผมอีกสี่ห้าคน ทุกคนอึ้งไปและพากันร้องไห้หลังจากที่รับรู้เรื่องความจำของผม แต่สุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนว่าพวกเค้าทั้งหมดจะทำใจได้ ผมยิ้มให้พวกเค้าเมื่อรู้ว่าพวกเค้าคือแม่ และพี่สาวของผม การทะเลาะกันพอหอมปากหอมคอของพี่ตุ่มและพี่เจ๋งทำให้ผมที่จำใครไม่ได้ซักคนรู้สึกดีขึ้นมาก เสียงหัวเราะของพี่สาวและคนที่ผมต้องเรียกว่าแม่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น อย่างน้อยชีวิตใหม่นี้ก็ยังเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบสำหรับผม คือมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น วูบหนึ่งผมเห็นพี่ตุ่มที่กำลังหัวเราะชะงักขำกะทันหัน ผมหันไปตามสายตาที่พี่ตุ่มมอง ก็พบว่าพี่ตุ่มมองที่ผู้ชายคนนั้นอยู่ แววตาสงสารของพี่ตุ่มทำให้ผมเอียงคอมองด้วยความสงสัย ผู้ชายคนนั้นยืนทำหน้าเศร้าเหมือนคนที่กำลังเจ็บปวด เค้าเป็นคนเดียวที่ผมยังไม่รู้ ว่าตกลงแล้วเค้าเป็นใคร แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่กระตุ้นต่อมอยากรู้ของผมเท่าไหร่ เพราะเชื่อมั้ยว่า ผมแอบรู้สึกไม่ค่อยชอบเค้าซักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่ถูกชะตา หรืออะไรก็แล้วแต่..

ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดนั่นก็คือ เค้าทิ้งผมให้อยู่กับผู้ชายคนนั้นสองคน

“ผมกับคุณ..เอ่อคุณพีรวิชญ์ คงจะสนิทกันมากใช่มั้ยครับ” ผมกลั้นใจถามออกไป ผมยอมรับก็ได้ว่าผมเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน แต่นั่นเป็นเพราะผมความจำเสื่อม ไม่ผิดใช่มั้ยที่ผมควรจะได้รู้ทุกๆอย่างที่ผ่านมาของตัวผมเอง
เค้าเงียบไปซักพักจนผมนึกหงุดหงิด แต่แล้วเค้าก็ตอบมันออกมา

“ก้อง..ฟังผมนะ ผมกับคุณเป็น..” เสียงเคาะประตูเบาๆทำให้ผมหันไปมองถึงการมาเยือนของใครอีกคน ผู้ชายที่ชื่อพีรวิชญ์ยังพูดไม่ทันจบจึงต้องหยุดประโยคนั้นเอาไว้ก่อน

ผู้ชายตัวสูง ผิวขาวจัด แต่งตัวดี เดินยิ้มบางๆเข้ามา รอยยิ้มอบอุ่นนั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ผมยิ้มตอบไปโดยไม่รู้ตัว ท่าทีแปลกๆของพีรวิชญ์ที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปขวางเค้าเอาไว้เหมือนคนที่เป็นศัตรูกันยังไงยังงั้น ทำให้ผมเริ่มรู้สึกขุ่นเคือง
“เค้ารู้จักกับผมใช่มั้ยครับ” ผมถามคนที่พยายามขวางไม่ให้คนๆนั้นเข้ามา เค้านิ่งไปซักพักแล้วพยักหน้า สุดท้ายพี่ผู้ชายคนนั้นก็เบี่ยงตัวเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม ขยี้หัวของผม

“รู้จักสิ รู้จักดีเลยด้วย เห็นป้าฟองบอกว่าจำใครไม่ได้เลยนี่เรา” คำพูดที่ดูสนิทสนมเป็นกันเองทำให้ผมรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ

“ครับ แล้วคุณ..”

“ก้องเรียกพี่ว่าพี่นิค”

“พี่นิค” ผมย้ำชื่อเค้าเบาๆ พยายามนึกชื่อนี้อีกครั้งแต่ก็เหมือนเดิม ผมจำไม่ได้

“ไม่ต้องคิดหรอกก้อง คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด เรามาเริ่มต้นกันใหม่ก็ได้นะ” พี่นิคยิ้มตาหยีใส่ผม

“หมายความว่ายังไง” ผมหันไปมองที่พีรวิชญ์ เมื่อเค้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่พอใจ

“ก็หมายความอย่างที่ผมพูดนั่นแหละครับ อะไรที่ก้องเค้านึกไม่ออก เราก็ไม่ได้คิดจะเร่งรัด เราเริ่มต้นกันใหม่ได้”

ผมยิ้มให้กับคำตอบของพี่นิค เค้าดูจะเข้าใจผมเป็นอย่างดี ก่อนที่ผมจะรู้สึกไม่พอใจอีกครั้งเมื่ออยู่ๆเค้าอีกคนก็ถามพี่เค้าด้วยคำที่เสียมารยาท

“คุณมาที่นี่ทำไม”

“ผมมาเยี่ยมก้อง”

“หมดธุระแล้วก็กลับไปได้แล้วครับ”

มันจะมากเกินไปหน่อยรึเปล่าคุณพีรวิชญ์ เค้าไปทำอะไรให้คุณงั้นเหรอถึงต้องพูดจาไล่เค้าแบบนี้

“ทำไมคุณต้องพูดแบบนี้ล่ะครับคุณพี เค้ารู้จักกับผมไม่ใช่เหรอ ผมไม่รู้นะว่าคุณกับเค้าเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน แต่ตอนนี้เค้าเป็นแขกของผม คุณอย่าเสียมารยาทได้มั้ย” ผมบอกกับเค้าอย่างนั้น ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ผู้ชายที่ดูจะโผงผางก้าวร้าวคนนี้เค้าเป็นใครมาจากไหน ผมไม่ผิดใช่มั้ยที่พูดออกไปแบบนั้น
“ก้อง” เค้าครางชื่อผมออกมาเบาๆ สีหน้าแววตาผิดหวังเสียใจแบบนั้นทำไมผมจะรู้สึกไม่ได้ แต่ก็ยังไงล่ะ ก็เค้ามาเสียมารยาทกับแขกของผมก่อน แม่นะแม่ ทำไมจะต้องทิ้งให้เค้าอยู่กับผมแบบนี้ด้วยนะ

คนคนนี้ไม่เคยถูกรักไม่เคยซักที แค่อยากถูกรักให้ใจดวงนี้ ไม่อ้างว้างเดียวดาย~ ใครพอจะมีมั้ยรักดีๆหยิบยื่นให้ดีได้มั้ย~ ขอแค่พอหล่อเลี้ยงหัวใจ นิดนึง....

คนคนนี้ไม่เคยถูกรักไม่เคยซักที แค่อยากถูกรักให้ใจดวงนี้ ไม่อ้างว้างเดียวดาย~ ใครพอจะมีมั้ยรักดีๆ หยิบยื่นให้ทีได้มั้ย~ ขอแค่พอหล่อเลี้ยงหัวใจ นิดนึง...

คนคนนี้ไม่เคยถูกรักไม่เคยซักที..

เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นเป็นรอบที่สามของเพลงทำให้ผมต้องหันไปถามกับเจ้าของโทรศัพท์ที่มัวแต่ยืนมองหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้น

“โทรศัพท์คุณไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่รับล่ะ”

เค้าหันหน้าหนีผมไปเหมือนคนไม่สบอารมณ์ นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกโมโห แค่ผมบอกให้รับโทรศัพท์แค่นี้ คุณต้องทำหน้าไม่พอใจแบบนี้ใส่ผมเลยงั้นเหรอคุณพีรวิชญ์

“สวัสดีครับ....” เค้าเงยหน้ามองมาที่ผมแล้วก็พูดต่อ

“ไอริน”

ไอริน...เป็นอีกชื่อนึงที่ทำให้ผมต้องพูดตามเบาๆหลังจากที่ได้ยินเค้าพูดออกมา ผมพยายามนึกมันอีกครั้ง อีกครั้งที่ผมต้องใช้สมองนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผมจำไม่ได้ แต่แล้วมันก็เหมือนเดิม ความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนี้ของผมคือศูนย์
ผมไม่รู้ว่าไอรินคือใคร แต่ชื่อนี้ก็ทำให้ผมเหม่อพอที่จะไม่ได้ยินเสียงเรียกของพี่นิค จนกระทั่งเค้าเรียกผมเสียงดัง และบอกว่าเค้าเรียกผมเป็นครั้งสี่แล้ว ผมถึงรู้ตัวว่าผมกำลังเหม่อ นั่นก็เพราะผมกำลังรู้สึกอึดอัด และไม่ชอบชื่อไอรินนั่นเท่าไหร่ พีรวิชญ์เอามือป้องปากที่จ่อกับโทรศัพท์เดินออกไปที่ระเบียงห้อง ผมรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่บริเวณอกข้างซ้ายของผมมันทำงานหนักมากกว่าเดิม มันรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นจนกระตุก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร ก็เลยได้แต่ถอนหายใจออกมา สงสัยผมคงจะเพลียมากเกินไป พี่นิคคงจะเห็นที่ผมถอนหายใจแรงๆ ก็เลยขอตัวกลับเพื่อปล่อยให้ผมได้พักผ่อน ผมระบายยิ้มกลับไปให้พี่เค้า พี่ชายที่ดูน่ารัก อบอุ่น และอ่อนโยน ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น..
แล้ว..แล้วทำไมผมต้องเอาไปเปรียบเทียบกับเค้าด้วย...

“มีความสุขล่ะสิ! ไอ้นั่นมาเยี่ยม” ประโยคที่พีรวิชญ์พูดด้วยการเหยียดยิ้มหลังจากที่เค้าเดินกลับเข้ามาในห้องแล้ว ทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรของคุณ”

“คุณจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เหรอก้อง”

“คุณจำผมไม่ได้เลยจริงๆเหรอก้อง! บอกผม...ตอบผมมาสิว่าคุณลืมผมไปหมดแล้วงั้นเหรอ ตอบผมมาว่ามันไม่จริง ตอบผมว่าคุณไม่ได้ลืมผมจริงๆ!!”

ผมรู้สึกเจ็บที่อยู่ๆเค้าก็เข้ามาเขย่าที่หัวไหล่ทั้งสองข้างของผม คำถามที่คาดคั้นเอาคำตอบนั้นทำให้ผมโมโหจนถึงขีดสุด แรงบีบที่หัวไหล่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บจนเผลอทำสะอื้นออกมา รู้สึกเหมือนตัวเองมีน้ำใสๆออกมาคลอที่เบ้าตา นี่มันบ้าอะไรกัน คุณมาทำแบบนี้กับผมทำไม

“หยุดนะ ผมเจ็บ”

“ก้อง..” เค้ารีบปล่อยมือ และนั่งลงข้างๆ เลิกชายแขนเสื้อของผมขึ้น

“คุณจะทำอะไร”

“จะดูว่าแดงรึเปล่า ผมขอโทษนะ คุณเจ็บมากมั้ย”

“อย่ามายุ่งกับผม!” ผมกลั้นสะอื้นและสะบัดให้มือของเค้าหลุดจากต้นแขนของผม จากเดิมที่ผมรู้สึกไม่ชอบเค้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันยิ่งทำให้ผมเกลียดเค้ามากขึ้นไปอีก คนๆนี้เป็นใคร คุณพีรวิชญ์ ทำไมคุณต้องมาทำให้ผมเจ็บแบบนี้ด้วย

“ออกไป!” เค้ายังนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ยินที่ผมพูดใช่มั้ย นี่เค้าจะยืนดูผลงานของตัวเองรึไงว่ามันทำให้ผมเจ็บมากแค่ไหน คุณคงเกลียดผมมากเลยใช่มั้ยคุณพีรวิชญ์

“ผมบอกให้คุณออกไป!”
“ก้อง ผมขอดูแขนคุณหน่อยนะ”

“ผมบอกให้ออกไป!” ผมรีบพูดเมื่อเห็นว่าเค้าจะเดินเข้ามาใกล้ ถ้าไม่ได้จริงใจก็ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง ตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วที่พี่นิคมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องขัดขวางไม่ให้เค้าเข้ามาหาผมด้วย คุณนี่มันใจร้ายมากเลยรู้มั้ยคุณพี...

ภาพสีดำเข้ามาแทนที่ภาพทุกๆอย่าง ผมพยายามลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแรงเขย่าจากใครคนนึง ใครคนที่พยายามวิ่งตามผม เค้าทรุดตัวลงนั่ง ผมรับรู้ได้ว่าเค้าโอบผมเอาไว้แน่นมากแค่ไหน เสียงตะโกนขอโทษอย่างขาดสติเจือกับเสียงสะอื้นของเค้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด เค้าละล่ำละลักร้องให้คนช่วย ผมรู้สึกว่าปลายตาของผมมีสัมผัสชื้นๆ ก่อนที่ของเหลวที่ว่านั้นจะไหลลงมาจนผมรู้สึกเย็นที่แก้มของตัวเอง อาจเป็นเพราะน้ำตาของผมทำให้ตอนนี้ผมมองเห็นหน้าเค้าไม่ชัดแล้ว แต่จากปลายหางตาของผมก็ยังพอมองเห็นลางๆว่าตัวของเค้าเปรอะเลือด เลือดที่ออกมาจากหัวของผม มโนภาพต่างๆ ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรเริ่มเข้ามาแทนที่ทุกอย่าง ภาพผู้หญิงสูงวัยที่ยิ้มหัวเราะกับผมที่นั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าโทรทัศน์ ภาพหญิงสาวที่น่าจะอายุมากกว่าผมเล็กน้อยที่เข้ามาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ภาพสาวประเภทสองร่างอวบอ้วนที่ยืนแยกเขี้ยวอยู่กับพี่ผู้ชายตัวผอมๆที่ดูเหมือนน่าจะเป็นคู่กัดกัน รวมทั้ง..ภาพที่ผมแลกแหวนทองสีชมพูกับ..กับคนคนนี้ คนที่กำลังร้องไห้โอบผมเอาไว้...

ภาพที่ดูจะมีความสุขเหล่านั้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกเจ็บปวด เสียงสัญญาณขอทางของรถพยาบาลดังขึ้นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ทุกๆอย่างจะดับวูบลง..

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองออกอย่างลวกๆเมื่อผมตื่นจากฝันนั่น อีกครั้งที่ผมฝันถึงมัน ภาพผมที่ประสบอุบัติเหตุทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด และน้ำตาของผมก็ไหลออกมาเองอย่างห้ามไม่ได้ ในฝันนั้นมีผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ชื่อพีรวิชญ์คนนั้นอยู่ในนั้นด้วย คนใจร้ายคนนั้นออกจากห้องไปตั้งแต่ตอนสายที่ผมไล่เค้าออกไปแล้ว ผมอยากอยู่คนเดียวสักพักเพื่อทบทวนอะไรหลายๆอย่าง และอยู่ๆ น้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาเองจนผมต้อนเช็ดมันออกหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งผมหลับไป ภาพความฝันเหล่านั้นที่เข้ามาแทนที่ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น หากแต่มันเป็นฝันร้ายที่รังแต่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปกว่าเดิม อีกครั้งกับการจบฝันร้ายนั้นแล้วผมก็ตื่นมาพร้อมๆ กับน้ำตา


ผมกวาดตามองห้องชุดห้องใหญ่ที่ผมรู้สึกคุ้นเคย แต่ความรู้สึกคุ้นเคยเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันยิ่งกลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

‘ก้องกับพีแต่งงานกันแล้วนะลูก ก้องจะต้องไปอยู่กับพี่ที่คอนโด จะมาแยกกันอยู่อย่างที่ก้องขอน่ะมันไม่ได้หรอก คู่สมรสที่ไหนเค้าทำกันแบบนั้นบ้าง นอกจากจะหย่าร้างกันแล้ว’
‘แม่ก็ให้ก้องหย่ากับเค้าสิครับ’

‘ก้อง!’ พีรวิชญ์มองหน้าผมอย่างไม่พอใจ ผมพูดผิดตรงไหน ก็ในเมื่อตอนนี้ผมกับเค้ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว แล้วเค้าจะมารั้งผมเอาไว้ทำไมอีก

‘ก้อง ถ้าก้องรักแม่ ก้องต้องเชื่อฟังแม่นะลูก ก้องต้องไปอยู่กับพี พีเค้ารักก้องมากนะ แล้วแม่ก็เชื่อว่าเค้าจะดูแลก้องเป็นอย่างดี’

คำพูดของแม่ช่างฟังดูง่ายดาย แต่แม่รู้มั้ยครับว่ามันยากสำหรับก้องมากแค่ไหน การที่จะต้องมาอยู่กับคนที่เราไม่ได้รักแล้ว ที่มากกว่านั้นคนๆนั้นยังเป็นคนที่ผมเกลียดขี้หน้าอีกต่างหาก ไม่ว่าอดีตผมกับเค้าจะลึกซึ้งถึงขั้นแต่งงานกันแล้ว แต่ตอนนี้ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไอ้กระเป๋าบ้านี่ก็หนักจริงๆ ให้ตาย

“ผมยกให้” ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ต้อง แต่พีรวิชญ์ก็แย่งกระเป๋าจากมือผมเอาไปวางไว้ใกล้ๆกับโซฟาสีเทาหน้าทีวีแล้ว ผมยืนดูเค้าจัดการกับกระเป๋าข้าวของของผมที่กลับมาจากโรงพยาบาล เค้าเปิดกระเป๋าออกแล้วหยิบเอาเสื้อของผมที่เปื้อนเลือดในวันที่ประสบอุบัติเหตุออกไปใส่ลงในตะกร้าสำหรับผ้าที่รอซัก บรรยากาศเงียบๆ ภายในห้องทำให้ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด

ทำไมต้องเก็บซ่อนใจไว้อย่างนี้ ที่เราทำไม่ดียังไง~

เสียงโทรศัพท์ทำให้ผมหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ดีใจที่เห็นชื่อคนที่โทรมาเป็นเค้า มันคงจะดีกว่าการที่ต้องอยู่แบบเงียบๆ กับพีรวิชญ์ในบรรยากาศแบบนี้

“ครับพี่นิค”

“เพิ่งถึงห้องครับ” ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วเดินเลี่ยงไปในครัว พี่นิคเป็นพี่ชายที่น่ารัก ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้คุยกับพี่เค้า อย่างน้อยก็ดีกว่าคุยกับคนอีกคนละกัน

“วันนี้เหรอครับพี่นิค คือก้อง.....คุณทำอะไรอ่ะ!”

ผมโวยวายเมื่ออยู่ๆ เค้าก็มาเอาโทรศัพท์ของผมไปแถมยังกดวางหน้าตาเฉย นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะคุณพีรวิชญ์
“กลับมาไม่ทันไรก็โทรหากันเลยนะ ทำไม..อยู่นี่มันลำบากใจนักใช่ม๊ะ ถึงต้องให้อีกคนโทรมาส่งกำลังใจกันถึงที่ อยู่โรงบาลคุยกันทุกวันยังไม่พออีกรึไง!”

“คุณพีรวิชญ์ เอาโทรศัพท์ของผมคืนมา”

“ทำอะไรเกรงใจกันบ้างนะก้อง!” ผมยอมรับว่าผมตกใจเมื่ออยู่ๆเค้าก็เข้ามากระชากข้อศอกผมจนตัวผมเซเข้าไปใกล้ แต่นั่นมันยิ่งทำให้ผมโกรธ

“ผมทำอะไร คุณอย่าลืมนะว่าคุณกับผมมีชนักติดหลังก็คือใบสมรสอะไรนั่น นอกจากนั้นระหว่างผมกับคุณมันก็ไม่มีอะไรต่อกันอีกต่อไปแล้ว จะให้ผมพูดอีกซักกี่ครั้งคุณถึงจะเข้าใจ”

“นอกจากใบสมรสแล้วระหว่างเรามันก็ไม่มีอะไรต่อกันแล้วงั้นเหรอ ที่คุณพูดน่ะ หมายถึงแบบนี้ใช่มั้ย”

ผมตกใจมากเมื่อเค้ารวมเอวผมเข้าไปจนชิดตัว ตอนนี้หัวใจของผมมันเต้นระรัวแน่นอนว่าผมเชื่อว่ามันต้องเป็นเพราะความโกรธ ลมหายใจที่ออกมาจากปลายจมูกของเค้ามันอยู่ใกล้กับใบหน้าของผมแค่คืบ สายตาของเค้าจ้องมาที่ผมอย่างเอาเรื่อง ทว่าผมไม่ยอมให้เค้าเป็นฝ่ายได้แกล้งผมฝ่ายเดียวหรอก ผมมองหน้าเค้ากลับอย่างเอาเรื่องเหมือนกัน

“ก้อง..” เสียงเรียกของเค้าแผ่วเบาจนเหมือนแทบจะขาดออกเป็นห้วงๆ ผมรู้สึกได้ถึงแววตาที่อ่อนลงของคนตรงหน้า แววตาเว้าวอนทำให้ผมรู้สึกถึงความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่อกซ้ายของตัวเองอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ตอนที่ผมได้ยินชื่อไอริน..

“คุณจะทำอะไร” ผมกลั้นใจถามออกไปเมื่อเค้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ และแขนเค้าก็ยังโอบผมแน่นขึ้นด้วย

ผมเอนตัวหนีเมื่อเค้ายังยื่นหน้าเข้ามาจนในที่สุดจมูกของเค้าก็มาแตะอยู่ที่จมูกของผม ผมจ้องลงไปในตาของเค้าเพื่อหาคำตอบว่าเค้าจะทำอะไรกันแน่ แต่แล้วเค้าก็ก้มลงมาอีกจนปากของเค้ากำลังจะเฉียดเข้ามา และเมื่อสติของผมกลับมา ผมก็ต้องรีบเบือนหน้าหลบ

เค้านิ่งไปซักพัก ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากเค้าก่อนที่เค้าจะปล่อยให้ผมออกจากการกอดรัด หัวใจที่มันเต้นรัวที่ผมคิดว่ามันมาจากความโกรธของผม ค่อยๆนิ่งสงบลงจนอยู่ในอัตราการเต้นที่เป็นปกติ..

“ผมจะไปอาบน้ำ” ผมบอกกับเค้าแล้วรีบพาตัวเองขึ้นไปบนห้องเพื่อหลบการเผชิญหน้า ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ถึงผมจะบอกกับเค้าว่าผมจะอาบน้ำ แต่ผมก็ได้แต่ยืนพิงประตูอยู่อย่างนั้น ผมยกมือขึ้นมากำที่เสื้อแถวๆหน้าอกข้างซ้ายจนแน่น ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้หัวใจที่เหมือนจะสงบลงแล้วกลับเต้นขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ เค้ากำลังจะทำอะไร ถ้าผมไม่เบือนหน้าออก เค้าจะทำอะไรผม..


ผมเดินเช็ดหัวที่เปียกหมาดๆออกมานั่งที่มุมเตียง กวาดตามองรอบห้องที่มีเตียงอยู่เพียงหลังเดียว นี่คืนนี้ผมจะต้องนอนเตียงเดียวกันกับเค้าใช่มั้ยเนี่ย ไม่สิ ต้องบอกว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกวันผมจะต้องนอนเตียงเดียวกับเค้าถึงจะถูก ผมถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งอย่างวิตก พยายามคิดหาวิธีการหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเค้า คิดหาวิธีการใช้ชีวิตว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไรให้ผมและเค้าพบกันให้น้อยที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากัน พอผมแห้งได้ที่ ผมก็เดินไปเดินมาในห้องอยู่อย่างนั้น นี่ถ้านับระยะทางเป็นกิโลเมตรแล้วผมว่าผมอาจจะเดินไปถึงเชียงใหม่เลยก็ได้นะ และแล้วช่วงเวลาที่ผมภาวนาไม่อยากให้มาเกิดขึ้นก็มาถึง เมื่อนายพีรวิชญ์เปิดประตูห้องเข้ามา เค้ามองผมด้วยสายตาที่ผมประเมินผมว่า‘แปลกๆ’ แล้วเค้าก็คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป
ผมล้มตัวลงนอนที่ด้านขวาของเตียงแล้วหันตัวนอนตะแคงขวา พยายามข่มตานอนเพื่อจะให้ร่างกายได้พักผ่อนและหวังจะให้มันหลับใหลไปในที่สุด ผมจะได้ไม่ต้องรับรู้ไม่ต้องรู้สึกอะไรแล้วผมก็จะตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน ทว่าเสียงประตูห้องน้ำที่เปิดออกทำให้ผมเผลอลืมตาขึ้น นายพีรวิชญ์ออกมาจากห้องน้ำมาด้วยผ้าเช็ดตัวที่ปิดบังท่อนล่างไว้เพียงผืนเดียว ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจก่อนจะรีบปิดลงลงแล้วพยายามหลับต่อ..แต่เอ๊ะ!ถ้าผมไม่ได้หูฝาด ผมเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเค้า ผมจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วลุกขึ้นนั่ง

“คุณหัวเราะอะไรอ่ะ”

“เปล่า”

ผมแยกเขี้ยวอย่างโมโห ก็ดูสิ ขนาดปากเค้าน่ะตอบว่าเปล่า แต่หน้าเค้าน่ะมันกวนกันชัดๆ แถมยังตอบออกมาเจือเสียงหัวเราะนั่นอีก ผมทำอะไรไม่ได้ ก็เลยล้มตัวลงไปนอนแรงๆ แต่คราวนี้ผมพลิกหันไปอีกด้านที่จะทำให้มองไม่เห็นเค้าที่กำลังยืนแต่งตัวอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า

“บ้า ไม่มีมารยาท”

ผมบ่นขึ้นเบาๆ ชนิดที่ว่าตั้งใจให้ตัวผมเองได้ยินคนเดียว แต่นั่นกลับทำให้เสียงหัวเราะเล็กๆ ข้างหลังผมนั่นดังขึ้น“นี่คุณหัวเราะผมงั้นเหรอ” คราวนี้ผมลุกขึ้นมานั่งอีกครั้งแล้วหันไปต่อว่าเค้า ผู้ชายคนนี้นี่ไม่มีมารยาทเอาซะเลย ขนาดผมบ่นของผมเบาๆ ยังจะมาได้ยินอีก
“เปล่าคับ” คำตอบที่ฟังดูดีถ้าไม่ได้ฟังน้ำเสียงและเห็นหน้าตายียวนของคนตอบ ทำเอาผมหัวเสีย สุดท้ายผมก็ต้องฮึดฮัดล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ขืนไม่นอนซะทีล่ะก็นายพีรวิชญ์นั่นได้กวนผมไม่เลิกแน่

ผมล้มตัวลงนอนในท่าตะแคงข้างซึ่งแน่นอนว่าต้องหันไปในทางที่จะทำให้มองไม่เห็นเค้าที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า แต่ไม่นานนัก ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมรู้ตัวเองว่าผมคิดผิด เมื่อคนที่ผมไม่อยากเห็นหน้าล้มตัวลงนอนในท่าตะแคงเช่นเดียวกับผม ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมกำลังนอนหันมาทางฝั่งเตียงที่ว่าง ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับเค้า ผมรีบพลิกเป็นตัวนอนหงายเมื่อเห็นว่าคนข้างๆมองผมไม่เลิก แต่แล้วนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้ตัวเองว่าผมคิดผิด เมื่ออยู่ๆ นายพีรวิชญ์ขยับตัวเข้ามาใกล้ แขนข้างนึงของเค้ายันข้อศอกตัวเองเอาไว้กับพื้นเตียงและมืออีกข้างก็เอามาวางโปะที่พื้นเตียงอีกด้านของผมจนเหมือนแทบจะคร่อมกัน พูดง่ายๆเลยคือเค้าล็อคผมเอาไว้ไม่ให้ขยับตัวไปไหนได้ ผมตกใจมากและพยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่งแต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผมและใบหน้าของเค้าใกล้กันขึ้นไปอีก ผมจึงต้องยอมลดตัวลงนอนแบบเดิม เค้าจ้องหน้าผมนิ่ง ยิ้มอย่างชนิดที่ว่าเจ้าเล่ห์ที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา ผมรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจของตัวเอง นั่นอาจเป็นเพราะการตกใจก็ได้ เพราะผมไม่เคยถูกใครทำแบบนี้มาก่อน อย่างน้อยก็นับตั้งแต่ผมความจำเสื่อมล่ะนะ

“คุณจะทำอะไร” ผมกลั้นใจถามมันออกไป เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่พูดอะไรออกมาซักที

ใช่ เค้าไม่พูดจริงๆ แต่เค้าเอามือข้างที่ล็อคผมเอาไว้อีกข้างขึ้นมาเหมือนจะเกลี่ยหน้าผม ผมมองตามมือนั้นอย่างหวาดระแวง และเมื่อมือนั้นแตะมาถึงแก้มของผมเบาๆ ผมก็ต้องหลบตาปี๋พร้อมกับเบี่ยงหน้าหนี

“หยุดนะคุณพีรวิชญ์” ผมรวบรวมคำพูดตะโกนออกไปแล้วใช้มือดันตัวเค้าให้ออกห้าง แต่ผมก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเค้าใช้มือของเค้ามาจับข้อมือผมเอาไว้แล้วกดไปกับพื้นเตียง เค้าเปลี่ยนท่าดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าแรงกดที่ข้อมือของผมมันมีมากกว่าเดิม ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สายตายียวนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกทำสีหน้าไม่ถูก พลันเมื่อผมรวบรวมสติได้ก็เลยเงยหน้าขึ้นจ้องตากับเค้าเชิงเอาเรื่อง

“คุณจะทำอะไรผมคุณพีรวิชญ์”

อีกแล้ว..เค้าไม่ตอบ แต่กลับก้มหน้าลงมาจนสุดท้ายปากของเค้าก็ทาบทับลงกับปากของผมโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามพลิกข้อมือให้หลุดจากการพันธนาการของเค้า ผมปิดปากตัวเองแน่นเพื่อปิดช่องทางไม่ให้ลิ้นของเค้าเข้ามาได้ เสียงประท้วงอู้อี้ๆ บอกให้เค้าหยุดไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย จนสุดท้ายช่วงวินาทีเดียว วินาทีเดียวจริงๆ ที่ผมเผลอเปิดปาก เค้าก็ส่งลิ้นร้อนๆ ของเค้าเข้ามาทันที ผมคิดทันทีว่าเค้าคงจะโชกโชนเรื่องนี้มากรึไงกันนะ ถึงว่องไวได้ซะขนาดนี้ จนสุดท้าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงขัดขืนของผมมันแรงพอที่จะทำให้มือของเค้าหลุดจากข้อมือของผม หรือเพราะเค้าเองตั้งใจจะหยุดมันอยู่แล้ว ทันทีที่ข้อมือผมหลุดจากพันธนาการบ้าๆ ของเค้าผมก็รีบใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มีดันตัวเค้าออกแล้วพาตัวเองลุกขึ้นนั่งทันที

อาการหายใจหอบของผมทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามันเหนื่อย เหนื่อยเหมือนคนหายใจไม่ทัน ผมยกปลายนิ้วขึ้นแตะที่ปากของตัวเอง

“คุณหน้าแดง” ประโยคแรกที่ออกมาจากปากของเค้าทำให้ผมโมโหจนแทบอยากจะลุกขึ้นไปชกหน้าซักทีสองที แววตายียวนนั่นไม่ได้มีอาการสำนึกผิดเลยซักนิด

“นั่นก็เพราะผมโกรธต่างหาก” ผมได้แต่เหวี่ยงออกไปอย่างหัวเสีย เผลอกัดปากตัวเองซะเริ่มรู้สึกเจ็บ ผมนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเริ่มรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อที่อกข้างซ้ายเริ่มจะกระตุกน้อยลงจนถึงขั้นเป็นปกติ ไอ้อาการหัวใจเต้นรัวแบบนี้ เห็นทีผมคงต้องหาเวลาไปให้หมอตรวจซะหน่อยแล้ว บางทีผมอาจจะเป็นโรคหัวใจก็ได้

ผมมองหน้าเค้าอย่างหงุดหงิดที่ทำอะไรเค้าไม่ได้ สุดท้ายเมื่อผมนึกอะไรขึ้นได้ ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบหมอนของผมเดินออกไปที่ประตู

“คุณจะไปไหน” ผมไม่ตอบ ลูกบิดประตูถูกผมจับเอาไว้ก่อนที่มันจะหลุดจากมือผมเมื่อตัวผมถูกกระชากจนเซไปหาใครอีกคน

“ผมถามว่าคุณจะไปไหน” คราวนี้แววตาเค้าเริ่มเปลี่ยนไป ไม่มีสีหน้ายียวนกวนประสาทเหมือนตอนแรก

“ไปในที่ๆไม่มีคุณน่ะ” ผมกระแทกเสียงตอบออกไปอย่างโมโห

“ข้างล่างนอนไม่สบายหรอก นอนด้วยกันนี่แหละ”

“ไม่ ปล่อยผม” ผมพยายามพาตัวเองให้หลุดจากมือทีจับผมเอาไว้ จนเมื่อผมออกแรงมากขึ้นเค้าก็เปลี่ยนจากจับแขนผมเป็นเอามารวบผมไว้ทั้งตัว เค้าพยายามแย่งหมอนที่ผมถืออยู่ อาการยื้อแย่งหมอนของผมกับเค้าทำให้ผมเซถลาลงจนเกือบหงายไปด้านหลัง เค้ารวบเอวผมเอาไว้ ไม่รู้ว่าเพราะผมเซหรือเพราะแรงดันจากเค้ากันแน่ ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าหลังของผมชิดไปกับกำแพง อาการเจ็บที่กล้ามเนื้อหน้าอกข้างซ้ายของผมกลับมาอีกแล้ว คราวนี้มันกระตุกแรงมากกว่าเดิมเมื่อผู้ชายตรงหน้ายกมือขึ้นเกลี่ยที่แก้มผมเบาๆ

“นอนบนนี้แหละ ผมไม่แกล้งคุณแล้ว”

ผมมองตาเค้าด้วยความไม่แน่ใจ ใช่สิ ก็สิ่งที่เค้าทำกับผมบนเตียงทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะไว้วางใจเค้าเท่าไหร่

“จริงๆ นะ เชื่อผมนะก้อง ผมจะไม่ทำอะไรโดยที่คุณไม่เต็มใจ”

“แต่คุณก็ทำไปแล้ว”

“ก็ผมอดใจไม่ไหวนี่” สีหน้าเว้าวอนออดอ้อนเหมือนเด็กๆ คิดว่าน่ารักรึไง ไม่เลยซักนิดคุณพีรวิชญ์

“ผมไม่เชื่อคุณแล้ว” ผมดันตัวเค้าออกเพื่อจะเดินลงไปนอนข้างล่าง แต่เค้าก็ยกมือขึ้นมารวบแขนทั้งสองข้างของผมเอาไว้ได้ด้วยมือเดียว

“นี่ปล่อยผมนะ”

“ถ้าคุณไม่ไปนอนบนเตียงกับผม ผมจะจูบคุณเดี๋ยวนี้” ผมอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง เชื่อเค้าเลย ทำไมนายถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย

“หนึ่ง..” ผมเริ่มเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูกเมื่อเค้าเริ่มนับ

“สอง...” หยุดนับเดี๋ยวนี้นะ!

“หรือว่าคุณ..”เค้าก้มหน้าลงมาใกล้ ผมไม่รอให้เค้าถามคำถามนั้นออกมาจนจบ ผมก็รีบกระแทกเสียงกลับไปทันที

“ก็หลีกสิ!”

นายพีรวิชญ์จอมเผด็จการหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะยอมหลีกทางให้ผม ผมจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ต้องถือหมอนเอามาโยนไว้ที่เดิมแล้วล้มลงนอนด้วยท่าทีฮึดฮัด ผมไม่ลืมที่หาจะหันแยกเขี้ยวใส่เค้าอย่างไม่พอใจและเมื่อเห็นเค้าทำท่าเอาเรื่องเป็นการตอบกลับแล้วจะเดินเข้ามา ผมก็ต้องรีบยกผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองจนมิด ให้ตายเถอะ นายนั่นหัวเราะออกมาอีกแล้ว

ถ้าผมตัดสินใจหนีลงไปนอนข้างล่าง ผมว่าคืนนี้เค้าอาจจะลงวุ่นวายกับผมอีกก็ได้ หวังว่าเค้าจะรักษาคำพูดที่ว่าเค้าจะไม่ทำอะไรผมอีก และก็หวังว่าการตัดสินใจของผมคงจะไม่ผิดนะ.. 

P-Kong project: บทที่ 1 ความสุขเมื่อวันวาน

นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นได้จากการที่เอส feathering กับน้องปอ ซึ่งเป็นน้องที่รู้จักกัน โดยเอสรับหน้าที่เล่าเรื่องราวในส่วนของพีรวิชญ์ และน้องปอเล่าเรื่องราวในส่วนของก้องบดินทร์ นิยายเรื่องนี้จะสนุกแค่ไหน ติดตามชมกันได้เลยค่ะ ^^"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ภายในท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางการบินในเอเชียอาคเนย์ ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกต่างเดินสวนกันไปมาอย่างพลุกพล่าน บรรดาญาติพี่น้องส่งเสียงจอแจไปทั่วอาคารผู้โดยสาร ในความสับสนอลหม่านนั้น หนุ่มหล่อหน้าคมและหนุ่มน้อยหน้าหวานเดินเคียงกันออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สีหน้าของคนทั้งคู่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา คนหน้าเข้มพูดอะไรบางอย่างข้างๆ หูคนหน้าหวาน ทำให้คนหน้าหวานหัวเราะขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี อาการหยอกล้อต่อกระซิก และการเอาใจใส่ซึ่งกันและกันของคนทั้งคู่ ถ้ามองจากสายตาคนภายนอก สองหนุ่มนี้ช่างดูเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก ทว่าในความเป็นจริงสองหนุ่มนี้คือคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งจดทะเบียนสมรสกันที่อเมริกาต่างหาก

“ยินดีต้อนรับกลับสู่เมืองไทยคร้าบ คุณก้องบดินทร์” ผม หรือนายพีรวิชญ์ กิตติวรรณ หนุ่มหล่อไฮโซ นักแข่งรถมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศ พูดกับคนหน้าหวานที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นคู่แต่งงานหมาดๆ ของผมด้วยความยินดี ผมส่งสายตาหวานๆ จ้องมองคนหน้าสวยอย่างไม่ปิดบัง จนทำให้คนรักของผมใบหน้าแดงระเรื่อ พร้อมกับเสมองไปทางอื่นด้วยความขวยเขิน.....หึ....หึ...ผมชอบจัง เวลาที่ก้องเขาเขินเนี่ย ผมว่ามันน่ารักดี

“ขอบคุณมากนะพีที่คุณช่วยพาผมไปรักษาตาจนหาย แล้วทำให้ผมได้มีโอกาสมองเห็นอีกครั้ง พี....ผมดีใจมากเลยที่ได้กลับมามองเห็นแผ่นดินเกิด ได้กลับมามองเห็นคุณ เห็นทุกๆคนที่ผมรัก ถ้าไม่มีคุณ ป่านนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะเป็นยังไง ขอบคุณมากนะพี ขอบคุณจริงๆ”

ผมได้ยินเสียงหวานๆ ของคนรักตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำใสๆ เอ่อคลอดวงตาสวยๆ คู่นั้น ก้องจับมือผมไปกุมไว้แน่นด้วยความซาบซึ้งใจ แววตาของก้องเต็มไปด้วยความรัก เทิดทูน ไว้ใจ และเชื่อมั่นในตัวผมอย่างเต็มเปี่ยม จนผมอดยิ้มให้กับแววตาบอกรักของก้องไม่ได้ ผมพลิกฝ่ามือของผมที่ถูกเกาะกุมเปลี่ยนมาจับมือของก้องไว้แน่น เฮ้อ....ลูกแมวจอมเหวี่ยงของผมกลายเป็นคนขี้แยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย

“ก้อง...คุณไม่ต้องขอบคุณผมอีกแล้วนะ ผมยินดีและเต็มใจที่จะดูแลคุณ ผมเคยบอกกับป้าฟอง...เอ้ย...แม่ฟอง และทุกๆ คนในครอบครัวของคุณไปแล้วไง ว่าผมอยากดูแลคุณ และผมก็สัญญากับพวกเขาว่าผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด แล้วผมก็รักษาสัญญา ไม่ทิ้งคุณไปไหน ก้อง...คุณเป็นคนเดียวที่ผมอยากดูแล อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต นี่.....ไม่ต้องดราม่าน่า เรารีบกลับบ้านกันดีกว่า ป่านนี้ที่บ้านคุณคงจัดงานฉลองที่ตาคุณหายควบกับงานแต่งงานของเราไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ ผมคิดถึงทุกๆ คนจะแย่อยู่แล้ว ป่ะ....ก้อง กลับบ้านกัน” ผมพูดความในใจของผมให้ก้องได้ฟังเพื่อให้ก้องสบายใจขึ้น แต่เมื่อผมเห็นใบหน้าหวานๆ ของก้องใกล้จะเป่าปี่เต็มที ผมเลยจงใจขัดอารมณ์ซึ้งๆ ของก้องให้สะดุดลงซะอย่างนั้น นั่นๆๆๆ.....เห็นมั๊ย คนรักของผมทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมตามที่คาดไว้จริงๆ แหะ หึ....หึ...เขี้ยวของผมค่อยๆ โผล่ขึ้นมาทีละนิด ผมอดหัวเราะให้กับท่าทางของก้องไม่ได้ แล้วนั่น.......พอผมหัวเราะเท่านั้นแหละ ดูซิ หน้าหวานๆ ของก้องก็เหวี่ยงยิ่งกว่าเดิมซะอีกแน่ะ ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...ผมรีบจูงมือก้องให้เดินออกไปจากสนามบินด้วยกัน ถึงยังไงผมก็ชอบหน้าเหวี่ยงๆ ของก้องมากกว่าหน้าที่เปื้อนน้ำตาอยู่ดี แม้ว่ามันจะเป็นน้ำตาจากความดีใจก็เถอะ
.
.
.
ผมกับก้องเดินลงมาจากเเท็กซี่พร้อมกับขนกระเป๋าของเราสองคนเข้ามาในเขตรั้วบ้าน เย็นวันนี้ที่บ้านของก้องคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากสมาชิกในครอบครัวจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ก็ยังมีพี่ผึ้งเพื่อนสนิทของพี่แก้วกับแฟนหนุ่มซึ่งก็คือพี่ธันวาเพื่อนสนิทของพี่ปอมารวมตัวอย่างครบครัน ก้องบดินทร์ของผมรีบเข้าไปโผกอดแม่ฟองกับพี่แก้วด้วยความคิดถึง ท่าทางออดอ้อนเป็นเด็กๆ นั่น น่ารักน่าเอ็นดูชะมัด ทำไมก้องไม่เคยใช้มันกับผมบ้างเลยน๊า...เห็นมีแต่เหวี่ยงใส่ตลอด แต่ถึงจะเหวี่ยงยังไง ผมก็รักของผมนะคร้าบ

“สวัสดีครับแม่ฟอง สวัสดีครับพี่แก้ว” ผมกล่าวทักทาย ‘แม่ยาย’ และ ‘พี่สะใภ้’ พร้อมกับกระพุ่มมือไหว้ด้วยความนอบน้อม

“สวัสดีจ๊ะพ่อพี เดินทางมาตั้งไกล เหนื่อยมั๊ยลูก”

“โห...แม่จ๋า ถามแต่พีคนเดียว แล้วก้องล่ะ” แหม....ลูกแมวของผม ส่งเสียกระเง้ากระงอดได้น่ารักเชียว

"ก็พ่อพีเค้าเป็นคนดูแลก้องทั้งขาไปและขากลับ คนดูแลกับคนถูกดูแลมันต่างกันนะลูก”

“ใช่สิ.....ก้องลืมไป เดี๋ยวนี้แม่ได้ลูกชายคนใหม่ ก้องก็ต้องถูกลืมเป็นธรรมดา ใช่มั๊ยจ๊ะ” ก้องทำหน้าเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่นพร้อมกับยืนกอดอกหน้ายุ่ง ผมฟังคำพูดของก้องแล้วอยากจะเข้าไปหยิกแก้มป่องๆ นั่นนักเชียว มีอย่างที่ไหนอิจฉาใครไม่อิจฉา ดันมาอิจฉาสามีตัวเอง 

“ลืมเลิมอะไรกันล่ะก้อง เรานี่โตจนแต่งงานแต่งการไปแล้วนะ ยังจะงอนเป็นเด็กๆ อยู่ได้ ไปๆ เข้าบ้านกันเถอะลูก แม่ พี่แก้ว แล้วก็พี่ปอ ช่วยกันทำกับข้าวต้อนรับลูกๆ ไว้เยอะเชียว ของโปรดของก้องกับพีทั้งนั้นเลยนะลูก”

“มาค่ะน้องก้องน้องพี เดี๋ยวพี่ตุ่มกับไอ้เจ๋งช่วยยกกระเป๋าให้นะคะ.....เอ้าไอ้เจ๋งยืนบื้ออยู่นั่นแหละมาช่วยกันสิ” เจ๊ตุ่มชายไทยหัวใจหวานแหววกามเทพของผมกับพีเข้ามาคว้ากระเป๋าใบเขื่องจากมือผม ก่อนที่จะหันไปดุลูกคู่ด้วยความเคยชิน

ว่าแล้วผมกับก้องก็เฮละโลตามทุกๆ คนเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ก็แหม....เดินทางไกลมันใช้พลังงานเยอะนะคร้าบ....มันก็ต้องเหนื่อย ต้องหิวกันเป็นธรรมดาล่ะ.....จริงไหม

“เฮ้ยพี...แกเล่าให้ฉันฟังหน่อยซิว่าแกไปทำอีท่าไหน น้องก้องเค้าถึงยอมจับปากกาเซ็นชื่อในใบทะเบียนสมรสกับแกได้” พี่ธันวาถามผมในระหว่างรับประทานอาหารเย็น สังเกตจากท่าทางของพี่ผึ้ง พี่ปอ พี่แก้ว เจ๊ตุ่ม เจ๋ง แล้วก็แม่ฟอง ดูเหมือนว่าทุกคนจะให้ความสนใจกับหัวข้อนี้กันซะเหลือเกิน ผมเหลือบตาไปมองคนที่นั่งข้างๆ แก้มใสๆ ของก้องซับสีเลือดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่าว่าแต่ก้องเลยที่เขินเพราะตอนนี้ผมเองก็กำลังเขินเหมือนกัน!!!!

“เอ้า...พี อ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละ บอกหน่อยเร็ว พี่อยากรู้” พี่แก้วเร่งเร้าผมแถมส่งสายตาไปกระเซ้าน้องชายสุดที่รักของตัวเอง ดวงตาของพี่แก้วเป็นประกายวิบวับไม่แพ้กับพี่ปอที่ทำท่าสนใจใคร่รู้เหมือนกัน แถมคำพูดของพี่ปอก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นเลยสักนิด

“เอาน่าพี ไม่ต้องอายหรอก คนเยอะแยะ” 

และนั่นก็ทำให้ผมต้องมานั่งเล่าเหตุการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตให้ทุกๆ คนได้ฟัง และผมก็เชื่อมั่นว่าก้องเองก็จะไม่มีวันลืมเช่นกัน
.
.
.
“ก้อง....เบื่อมั๊ยที่ต้องอยู่แต่ในคอนโด” ผมถามก้องในเช้าที่อากาศสดใสวันหนึ่ง อากาศในวันนี้น่าออกไปข้างนอกจริงๆ

“เบื่อสิพี ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้ไปไหนเลย มาอเมริกาทั้งทีแต่ต้องมาอยู่แต่ในห้อง” ก้องตอบคำถามผมพร้อมกับทำหน้าย่นด้วยความขัดใจ

“ก็หมอเค้าต้องการให้คุณพักผ่อนก่อน อยากให้แน่ใจจริงๆ ว่าคุณหายดีแล้ว เอาอย่างนี้ดีมั๊ยก้อง เดี๋ยววันนี้ผมจะพาคุณไปหาหมออีกครั้งให้แน่ใจ แล้วผมจะพาคุณไปเที่ยว ดีมั๊ยครับ”

“จริงเหรอพี เอาสิ ไปกันเลยมั๊ย” ลูกแมวจอมเหวี่ยงของผมพอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวเท่านั้นแหละ ดวงตาคู่สวยก็เป็นประกายทันที หน้าของก้องที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มทำให้หน้าที่ว่าหวานนั้นหวานขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“ยังไม่ไปหรอกก้อง” 

“อ้าว....ทำไมล่ะ” น้ำเสียงแบบนี้แสดงว่าเตรียมเหวี่ยงสุดฤทธิ์

“รางวัล”

“หืม?”



“ก็รางวัลสำหรับผมไง.....อ่ะ” ผมพูดพร้อมกับยื่นหน้าหล่อๆ ของผมไปให้ก้อง ดูก้องตอนนี้สิ เขินได้น่ารักชะมัด

“ก็...ก็ได้....นี่ผมเห็นว่าคุณช่วยดูแลผมมาตลอดหรอกนะ”

ว่าแล้วก้องบดินทร์ก็ค่อยๆ จรดปลายจมูกมาที่แก้มสากๆ ของผม อืม....ชื่นใจชะมัด อย่างนี้สิค่อยมีกำลังใจพาคนป่วยไปเที่ยวหน่อย

หลังจากที่ผมพาก้องไปตรวจตาที่โรงพยาบาล New York Eye and Ear Infirmary เป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็พาก้องไปเดินเที่ยวที่ Greenwich Village ซึ่งเป็นสถานที่ขายของเกี่ยวกับซีดีเพลงและหนังสือ เพราะผมรู้ว่าก้องเองก็ชอบร้องเพลงและมีอารมณ์สุนทรีย์อยู่เหมือนกัน ผมเคยแอบได้ยินก้องร้องเพลงในห้องน้ำอยู่บ่อยๆ อย่าหาว่าผมอวยเลยนะ แต่ผมว่าก้องน่ะร้องเพลงเพราะมากๆ ขนาดได้ยินในห้องน้ำก็ทำเอาผมเคลิ้มไปกับเสียงของก้องหลายต่อหลายครั้ง ก้องของผมดูมีความสุขมาก เลือกซีดีแผ่นนั้นแผ่นนี้สนุกใหญ่เชียว ผมเองก็เพิ่งได้รู้จากก้องวันนี้แหละว่านักร้องวง El Divo พลังเสียงสุดยอดแค่ไหน ก้องเดินช็อปจนเหนื่อย ผมก็เลยพาไปนั่งพักที่ Washington Square Park ระหว่างนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งขอแต่งงานอยู่ตรงหน้าเราสองคน ก้องดูจะอินกับคู่รักคู่นั้นเป็นอย่างมาก พอฝ่ายหญิงตอบว่า ‘yes’ เท่านั้นแหละ ก้องก็พลอยปรบมือดีใจไปกับเค้าด้วย แต่แล้วผมก็สังเกตเห็นว่าแววตาของก้องหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนที่ก้องจะหันมาพูดกับผม

“น่าอิจฉาเค้าจังเน๊อะพี รักกันก็ได้แต่งงานกัน ไม่เหมือนเรา”

“นี่คุณกำลังขอผมแต่งงานเหรอก้อง” ผมแกล้งพูดเสียงสูง ทำตาโต ให้ก้องได้เขินเล่นๆ และก็เป็นไปตามคาด ก้องเริ่มเหวี่ยงใส่ผมอีกแล้ว

“ขะ...ขอ เขอ อะไรกันล่ะคุณ....ฮึ่ยยยยย หลงตัวเอง”

“เอ๊า...ก็ผมเห็นคุณอิจฉาเค้าที่ได้แต่งงาน ผมก็นึกว่าคุณอยากแต่งงานกับผมน่ะสิ......หรือที่คุณพูดแบบนี้แสดงว่าคุณไม่อยากแต่งงานกับผม”

“ ก็...ก็...ไม่ใช่อย่างนั้น...แต่...”

“งั้นแสดงว่าคุณก็อยากแต่งงานกับผมงั้นสิ” 

“ไม่รู้.....คุณจะพาผมไปไหนต่อล่ะ ผมอยากไปเที่ยวต่อแล้ว”

“อ้าวก้อง.....เดี๋ยวสิ เรายังคุยกันไม่จบเลยน๊า” หึ...หึ...ท่าทางก้องจะเขินจริงจังแฮะ แป๊บเดียวเดินไปนู่นแล้ว
สถานที่ต่อไปที่ผมพาก้องมาคือโบสถ์ Saint Patrick ซึ่งเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค ความน่าสนใจของโบสถ์แห่งนี้คือบริเวณทั้งสองด้านของโบสถ์เป็นตึกสูงระฟ้า แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถลบเลือนความสวยงามของสถาปัตยกรรมสุดแสนคลาสสิคในสไตล์โกธิคของโบสถ์แห่งนี้ได้เลย ความใหญ่โตของสถานที่นี้ถ้าเรียกว่าเป็นมหาวิหารก็คงจะไม่ผิดนัก ผมจูงมือก้องเดินเข้าไปในโบสถ์ สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือไม้กางแขนสีทองขนาดใหญ่ที่สลักเสลาอย่างสวยงาม ภาพกระจกสีที่เพดานดูมีชีวิตส่งให้ภายในโบสถ์แห่งนี้มีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น ก้องบดินทร์บีบมือผมแน่นด้วยความตื่นเต้น ขนาดเสียงที่พูดกับผมยังสั่นจนผมรู้สึกได้

“โอ้โห พี สวยจังเลย....ไม่น่าเชื่อว่าใจกลางเมืองจะยังมีโบสถ์ที่สวยงามขนาดนี้”

“ใช่แล้วก้อง.....สวย.....เหมือนคุณ” 

ก้องบดินทร์เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ก้องจะพบกับสายตาของผมที่เปิดเผยความในใจออกมาจนหมดสิ้น ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบวัตถุสีทองอมชมพูออกมาจากกระเป๋าก่อนจะยื่นให้คนตรงหน้า 

“ก้อง....แต่งงานกับผมนะ”

ก้องบดินทร์ทำหน้าตกใจสุดขีด น้ำใสๆ เอ่อคลอดวงตาคู่สวย ก่อนที่ก้องจะพูดกับผมด้วยเสียงเบาหวิวเกือบเป็นเสียงกระซิบ

“เราแต่งงานกันได้จริงๆ เหรอพี”

“ได้สิก้อง...เพียงคุณตกลง ผมจะพาคุณไปจดทะเบียนสมรสที่รัฐ Massachusetts ที่นั่นมีกฎหมายรับรองการสมรสสำหรับเรา เราจะได้แต่งงานเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายไงก้อง”

ผมเห็นก้องนิ่งไปอยู่นาน จนรู้สึกใจคอไม่ดี สงสัยผมคงต้องให้ความมั่นใจกับก้องบ้างแล้ว

“ก้อง....คุณจะยินยอมใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายคนนี้.....คนที่ในหัวใจมีแต่คุณได้มั๊ยก้อง....ผมขอสัญญาและสาบานต่อหน้าไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าพระเยซูคริสต์ แม่พระ และนักบุญทุกๆ องค์ในที่นี้ ว่าผมจะรัก จะดูแลคุณด้วยชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณไปจนวันตาย....แต่งงานกับผมเถอะนะก้อง ให้เราได้อยู่ด้วยกัน ได้มีกันและกันในทุกๆ วันนะ”

“ตกลงพี....ผมจะแต่งงานกับคุณ” ก้องของผมพูดน้ำเสียงเจือสะอื้นแต่ใบหน้าก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม น้ำใสๆ ที่เคยคลออยู่ที่ดวงตาคู่สวย บัดนี้ได้ไหลลงมาบนแก้มเนียนไม่ขาดสาย ผมเองก็ซาบซึ้งกับคำตอบตกลงแต่งงานของก้องเช่นกัน จนผมอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมตามไปด้วย ผมบรรจงสวมแหวนพิงค์โกล หรือแหวนทองสีชมพูไปบนนิ้วนางข้างซ้ายที่มือเรียวสวย พร้อมกับจูบซับน้ำตาให้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมนต์ขลังของโบสถ์ที่สวยงาม หรือมนต์ขลังจากดวงตาคู่สวยของก้องกันแน่ ที่ทำให้ผมค่อยๆ ประทับริมฝีปากไปบนกลีบปากนุ่มของคนตรงหน้า ส่งผ่านสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนให้แก่กันและกัน เนิ่นนานกว่าที่ผมจะยอมตัดใจถอนริมฝีปากออก ก้องบดินทร์อมยิ้มน้อยๆ ด้วยความสุขใจ ผมไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้ผมรู้แต่เพียงว่าในขณะนี้จะมีเพียงแต่เราสองคนเท่านั้น และเราจะมีกันและกันจากนี้ไปจนวันตาย” 
.
.
.
ผมนั่งนึกนึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่ผมกับก้องเคยมีความสุขด้วยกัน ผมมองหน้าของก้องที่ตอนนี้กำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล สายต่างๆ มากมายระเกะระกะไปตามเนื้อตัวของคนที่ผมรัก ที่หัวของก้องมีผ้าก๊อซพันไว้อย่างแน่นหนา เลือดสีแดงสดซึมออกมาจากผ้าก๊อซเล็กน้อย แต่นั่นมันก็มากเกินพอที่จะทำให้ผมเจ็บปวดไปทั้งใจ มันเป็นความผิดของผมเอง ความผิดของผมคนเดียว ผมทำให้ก้องต้องเจ็บหนักอีกแล้ว ผมมันเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ถ้าก้องต้องเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด ถ้าวันนั้นผมไม่ใช้อารมณ์กับก้อง ก้องก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
.
.
.
‘คนๆ นี้ไม่เคยถูกรัก ไม่เคยซักที แค่อยากถูกรัก ให้ใจดวงนี้ ไม่อ้างว้าง.....’ เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน ก้องบดินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมหันมามองด้วยความสนใจ

“สวัสดีครับ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า” ผมกรอกเสียงลงไปในสายโทรศัพท์ เมื่อรู้จากหน้าจอมือถือว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา 

“วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ นะไอริน เอาไว้โอกาสหน้านะ” ก้องหันมามองผมอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของคนปลายสาย หน้าสวยๆ เริ่มยุ่งด้วยความขัดใจ

“โธ่.....ไอริน ผมไม่สะดวกจริงๆ คุณอย่าเพิ่งเซ้าซี้ผมได้ไหม ผมขับรถอยู่ แค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ...เฮ้อ” ผมวางสายจากไอริน ก่อนที่จะหันมาหาคนที่นั่งข้างๆ ดูจากท่าทางของก้องตอนนี้ ผมว่างานได้เข้าผมอีกแล้ว ชัวร์ๆ เลย

“คุณไอรินโทรมาอีกแล้วเหรอพี” เสียงของก้องเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ไม่มีน้ำเสียงเหวี่ยงวีนอย่างที่ผมคุ้นเคย อะไรกันเนี่ย ก้องของผมเป็นอะไรไป

“อืม...” ผมตอบได้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

“รู้สึกว่าเค้าจะโทรมาหาคุณบ่อยจังเลยนะพี ตั้งแต่วันที่เค้ามาทานข้าวที่คอนโด ผมก็เห็นว่าเค้าโทรมาหาคุณตลอดเวลา ดูท่าแล้วเค้าคงจะคิดถึงคุณมาก หรือว่าคุณไปทำอะไรเอาไว้ล่ะ เค้าถึงได้ติดคุณแจขนาดนี้” 

“ก้อง .....นี่คุณพูดอะไรออกมา รู้ตัวบ้างไหม คุณพูดเหมือนคุณไม่เชื่อใจผม ไม่ไว้ใจในตัวผมเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณก็เห็น ว่าผมไม่ได้เป็นฝ่ายโทรไปหาไอรินก่อน เค้าเป็นคนโทรมาหาผมเอง แล้วที่คุณมาพาลหาเรื่องผมแบบนี้เป็นเพราะว่าคุณหึงผมจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าคุณต้องการเลิกกับผมแล้วไปหาไอ้นิคอะไรนั่นกันแน่ คุณอย่านึกนะว่าผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสอนคุณทำเค้ก ทุกครั้งที่ผมเปิดดูเมสเสจของคุณผมก็ต้องเห็นข้อความของไอ้หมอนั่นตลอด เป็นห่วงกันมากนักเหรอฮะก้อง ถ้าเป็นห่วงกันมากก็ไปอยู่ด้วยกันเลยไป” 

ผมเอง ณ ตอนนี้ก็เก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน คำพูดที่ออกมาจากปากของผมชักจะดังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น บ่อยครั้งที่ก้องมักจะหึงผม และเหวี่ยงใส่ผมตามประสา แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะทำเสียงเย็นชาใส่ผมแบบนี้ ผมอุตส่าห์ไม่พูด ไม่ถามเรื่องไอ้พี่นิคอะไรนั่นเป็นเพราะว่าผมเชื่อใจก้อง แต่เมื่อในวันนี้ก้องทำท่าปั่นปึ่งเย็นชากับผม มันก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าก้องเองก็คงจะมีใจให้ไอ้หมอนั่นเหมือนกัน ผมอดน้อยใจไม่ได้ที่ก้องไม่เคยเชื่อใจผมเลย คำพูดของก้องวันนี้แสดงให้เห็นว่าก้องดูถูกความรักของผม สิ่งที่ผมทำเพื่อก้องมาตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมามันไม่ได้มีค่าพอที่จะพิสูจน์ความจริงใจของผมเลยใช่มั๊ย ผมเจ็บ เจ็บที่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ก้องเองไม่เคยเห็นผมมีค่าในสายตาของเขาเลย

“พี.....นี่คุณไล่ผมเหรอ.....ผมผิดงั้นสิที่คิดระแวงคุณกับแฟนเก่า ผมควรจะต้องยินดีใช่มั๊ยที่เห็นยัยไอรินอะไรนั่นพยายามที่จะแย่งคุณไป ผมถามคุณจริงๆ เถอะ ถ้าคุณไม่คิดอะไรกับเขา แล้วทำไมคุณไม่ปฏิเสธเขาให้มันชัดเจนสักที ส่วนเรื่องพี่นิคคุณจะเข้าใจยังไงมันก็แล้วแต่คุณ แต่สิ่งเดียวที่ผมเสียใจมากที่สุดก็คือคุณเองก็ไม่เคยเชื่อใจและไว้ใจผมเลย คุณกล่าวหาว่าผมไม่เคยไว้ใจคุณ แต่ดูสิ่งที่คุณทำสิพี คุณเช็คโทรศัพท์ผมมาตลอด ในเมื่อคุณเองก็ไม่เคยไว้ใจผม แล้วคุณยังจะมาถามหาความไว้ใจจากผมทำไม!!!!!!! จอดรถเดี๋ยวนี้นะพี ผมจะลง ผมจะไปจากคุณ และจะไม่กลับมาให้คุณเห็นหน้าอีก”

ผมรีบขับรถเข้าไปจอดข้างทาง แต่ไม่ใช่เป็นเพราะคำพูดของก้องหรอกนะ แต่เป็นเพราะคนหน้าสวยเจ้าปัญหานั่นกำลังเอื้อมมือมาหักพวงมาลัยรถของผม และก่อนที่ผมกับก้องจะได้ไปเฝ้ายมบาลด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยรถไปจอดที่ข้างทาง พอรถจอดสนิทดีเท่านั้น ก้องก็รีบเปิดประตูลงจากรถ ผมรีบตามก้องไปทันที แต่ยิ่งผมตาม ก้องก็ยิ่งหนี วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรกันวะเนี่ย บ้าชะมัดเลย

“ก้อง...กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน อย่าเดินหนีผมแบบนี้” 

“ไม่.....ผมไม่กลับ ผมเกลียดคุณ คุณได้ยินมั๊ยว่าผมเกลียดคุณ” ก้องหันหน้ากลับมาหาผมแต่ก็ยังคงเดินถอยหลังออกห่างจากผมอยู่เรื่อยๆ อีกไม่กี่ก้าวก้องก็จะเดินออกไปกลางถนน หัวใจของผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนที่จะร้องตะโกนบอกให้ก้องรู้ตัว 

“ก้อง......อย่าไปทางนั้น มันอันตราย” ผมตะโกนบอกก้องไม่ทันจะขาดคำ รถยนต์คันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาก้องด้วยความเร็วสูง เสียงแตรดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ผมจะเห็นก้องล้มลงไปนอนหมดสติอยู่บนพื้นถนน เลือดสดๆ ไหลออกมาท่วมตัวคนที่ผมรัก ผมรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกกระชากออกไปจากตัว ผมรีบถลาเข้าไปหาหัวใจของผมแล้วเข้าไปประคองร่างของก้องไว้แนบอก 

“ก้อง อย่าเป็นอะไรไปนะก้อง ผมขอโทษ ผมขอโทษนะก้อง ผมขอโทษ” ผมปล่อยโฮสุดเสียงออกมาอย่างไม่อายใคร พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำๆ แม้รู้ว่าก้องจะไม่มีโอกาสได้ยิน และก่อนที่เวลาจะล่วงเลยไปมากกว่านี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มาถึงอย่างรวดเร็วก็รีบพาก้องส่งโรงพยาบาล ผมรีบขับรถตามก้องไปด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม ‘ผมขอโทษนะก้อง ผมผิดเอง ผมผิดเองที่ใช้อารมณ์กับคุณ ผมขอโทษนะ ผมขอโทษจริงๆ’ ผมพร่ำขอโทษก้องในใจซ้ำไปซ้ำมาด้วยหัวใจที่อ่อนล้า ผมมันแย่จริงๆ ถ้าก้องเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต 
.
.
.
ความคิดของผมสะดุดลงเมื่อรู้สึกได้ว่ามือเรียวที่ผมกุมอยู่ขยับเขยื้อน หัวใจของผมลิงโลดด้วยความยินดี ในที่สุดคนรักของผมก็ฟื้นขึ้นมาหลังจากที่สลบไปนานถึงสี่วัน เปลือกตาคู่สวยนั้นค่อยๆ เปิดอย่างช้าๆ ก้องจ้องมองมาที่ผม ผมยิ้มปลอบขวัญคนรักและก้มลงจูบที่หน้าผากมน ผมสบตาของก้องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรแล้วนะก้อง ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะอยู่ใกล้ๆ คุณ คอยดูแลคุณเอง”

ก้องสบตาผมอีกสักครู่ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าแววตาของก้องตอนนี้เปลี่ยนไปจนผมรู้สึกได้ มันไม่ใช่แววตาบอกรักคู่นั้นที่มักมองมาที่ผมเสมอ ตอนนี้แววตาของก้องว่างเปล่าจนน่าใจหาย ผมเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณบางอย่างที่ผมภาวนาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่คำพูดที่ก้องพูดกับผมมันก็ทำให้ผมแน่ใจว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“เอ่อ.....คุณเป็นใคร.....ผม.....จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักคุณ” 

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

สะดุดรักเค้กชาเขียว (3)

วันนี้ก้องบดินทร์นัดกับเพื่อนสนิทของแก้วกัญญาเพื่อที่จะเรียนทำเค้กตอนเก้าโมงเช้า คนหน้าหวานตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อลุกขึ้นมาเตรียมอาหารให้กับพีรวิชญ์ก่อนที่จะไปสนามแข่งรถ เขาต้องปลุกให้คนหน้าคมออกจากคอนโดก่อนเวลาแปดโมง เพื่อที่พีรวิชญ์จะได้ไม่สงสัยว่าเพื่อนสนิทของพี่แก้วมาทำอะไรที่นี่ แต่กว่าที่จะขุดคนหน้าคมให้ลุกออกจากเตียงได้ก็โกลาหลวุ่นวายพอสมควร

“อะไรกันอ่ะก้อง เพิ่งเจ็ดโมงครึ่งเอง ของีบอีกหน่อยนะ” พีรวิชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย พร้อมกับทิ้งตัวลงไปที่เตียงอีกครั้ง

“ไม่ได้นะพี วันนี้คุณต้องไปแข่งนะ จะไม่ไปเช็คสภาพรถก่อนแข่งหน่อยหรือไง” ก้องบดินทร์กล่าวพลางฉุดแขนคนที่ยังไม่ตื่นให้ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

“แต่ผมแข่งตอนสิบเอ็ดโมงนะ ของีบอีกสักเดี๋ยวไม่ได้เหรอ ผมเพลียมากเลยอ่ะ” คนหน้าเข้มปรือตาขึ้นมานิดเดียวก่อนที่จะหลับตาลงอย่างง่วงงุน

“ไม่ต้องเลยพี คุณทำตัวเองทั้งนั้นนะ ก็ใครใช้ให้คุณ........เอ่อ........”

“ผมทำไมเหรอ......ก้อง” คนหน้าเข้มปรือตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้คนตรงหน้า

“เออน่า........คุณน่ะ ตื่นได้แล้ว ลุกขึ้นเร็วเข้า” คนหน้าหวานฉุดแขนของพีรวิชญ์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้คนหน้าหวานกลับเป็นฝ่ายถูกฉุดซะเอง ก้องบดินทร์เสียหลักล้มลงไปอยู่ในอ้อมแขนของพีรวิชญ์ทั้งตัว คนหน้าหวานเริ่มทำแก้มป่องแล้วเหวี่ยงใส่คนตรงหน้าทันที

“นี่พี คุณตื่นนานแล้วใช่มั๊ยเนี่ย ฮึ่ยยยยยยยย ปล่อยให้ผมปลุกคุณอยู่ตั้งนานสองนาน แล้วนี่อะไรเนี่ย......ปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปอาบน้ำอาบท่าซะ แล้วลงไปกินข้าวเช้าด้วย  เร็วๆ ล่ะ นี่....คู๊ณ....บอกให้ปล่อยไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงฮะ”

“ผมฟังภาษาคนรู้เรื่องอยู่แล้วล่ะคร้าบ แต่ผมอยากนอนกอดคุณนี่นา ถ้าคุณจะให้ผมลุกคุณก็ต้องตามใจผมก่อน” คนหน้าคมเริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์ พร้อมส่งรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เหลือร้ายไปให้กับคนตรงหน้า ถ้าก้องไม่ยอมใจอ่อนกับเขี้ยวสวยๆ ของผมก็ให้มันรู้กันไปสิ

“แล้วคุณจะให้ผมทำอะไรล่ะ” คนหน้าหวานรับปากไปส่งๆ เพื่อให้พียอมลุกออกจากเตียง สาบานได้ว่าไม่เกี่ยวกับเขี้ยวคู่สวยคู่นั้นเลยจริงจริ๊ง

“หอมแก้มผมหน่อยน๊า ทั้งซ้าย ทั้งขวาเลย......อะ” พีรวิชญ์พูดพลางยื่นแก้มสากๆ ไปให้คนตรงหน้า แต่เมื่อเห็นท่าทางอิดออดของคนรัก เขาก็เลยแกล้งเอ่ยกับคนหน้าหวานด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เร็ว เร็ว ก้อง” คนหน้าเข้มพูด พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนรักมากขึ้นไปอีก พร้อมกับกระชับอ้อมแขนอบอุ่นของเขาให้แน่นกว่าเดิม

“อ่ะ อ่ะ ก็ได้ ก็ได้” ก้องบดินทร์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงวีนเต็มที่ด้วยความเขินอาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมจรดริมฝีปากนุ่มๆ ลงบนแก้มสากของพีรวิชญ์ทั้งซ้ายและขวา แล้วรีบขยับตัวหนีออกจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ฝ่ายคนหน้าคมเมื่อถูกตามใจเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“หึ หึ ก็แค่เนี๊ย........ผมไปอาบน้ำก่อนนะก้อง คุณไปรอผมที่โต๊ะกินข้าวได้เลย” คนหน้าเข้มพูดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดตัวเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย ฝ่ายก้องบดินทร์ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนหน้าคมอย่างแปลกใจ

บทจะง่าย ก็ง่ายจังแฮะ
.
.
.
เพิ่งรู้จัก....ว่ารักเป็นไง เพิ่งรู้จัก....ว่ารักที่ใจเรียกร้อง ตามหา.......มานานแสนนาน....ได้พบความรักแท้ๆ เมื่อเจอเธอ.... เสียงโทรศัพท์ของก้องบดินทร์กรีดร้องดังขึ้น คนหน้าหวานรีบกระวีกระวาดออกจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงริงโทนดังขึ้นเป็นหนที่สอง ดวงตากลมโตจ้องไปยังชื่อที่คุ้นเคยบนหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี แล้วกรอกเสียงหวานๆ ลงไปหาคนที่อยู่ปลายสาย

“ฮัลโหลพี่แก้ว พี่แก้วมาถึงคอนโดแล้วใช่ไหม......โอเคครับ พี่แก้วพาเพื่อนขึ้นมาได้เลย”

เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ แก้วกัญญาและเพื่อนสนิทของเธอก็มาถึง ก้องบดินทร์เปิดประตูต้อนรับอย่างยินดี ก่อนที่จะพาพี่สาวและเพื่อนซี้มานั่งที่โซฟาตัวยาว  ส่วนตัวเขาเองก็นั่งที่โซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน แก้วกัญญานั่งอยู่ระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง ก้องบดินทร์โผเข้าไปกอดพี่สาวด้วยความคิดถึง เมื่อพี่น้องทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แก้วกัญญาถึงได้แนะนำเพื่อนสนิทของเธอให้น้องชายรู้จัก

“ก้อง....นี่พี่นิค เพื่อนสนิทพี่เอง วันนี้เค้าจะมาช่วยสอนก้องทำเค้ก” แก้วกัญญาเอ่ย ก่อนที่จะพยักพเยิดไปทางนิคแล้วกล่าวแนะนำน้องชาย “ส่วนนี่น้องชายแก้วชื่อก้อง มีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วยแล้วกันนะ”

พี่นิคที่แก้วกัญญาพูดถึงคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนละเอียด  ดวงตาชั้นเดียวที่จ้องมองมาที่คนหน้าหวานบ่งบอกเชื้อชาติได้เป็นอย่างดี จมูกโด่งได้รูปสวย รับกับริมฝีปากบางที่มีสีแดงระเรื่อตามธรรมชาติ เครื่องหน้าที่เหมาะเจาะลงตัวของชายหนุ่มหากมีใครมาบอกว่าเป็นดาราเกาหลีก็คงจะเชื่อได้ไม่ยาก คนร่างสูงมองหน้าหวานๆ นั้นชั่วอึดใจ ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

“สวัสดีครับน้องก้อง......ได้ข่าวว่าอยากจะเรียนทำเค้ก สงสัยคงจะทำให้หวานใจทานแน่เลยใช่ไหมครับ”

“เอ่อ....ครับ” ก้องบดินทร์เอ่ยตอบสั้นๆ พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตรตอบกลับไป

“น้องก้องนี่น่ารักจริงๆ เลยนะครับ ใครที่ได้เป็นแฟนคงโชคดีที่สุดในโลก” หนุ่มร่างสูงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มมาให้คนตรงหน้า ก้องบดินทร์รู้สึกขัดเขินกับสายตาคู่นั้นของชายหนุ่ม ก่อนที่จะเอ่ยกลับไปแก้เก้อ

“เอ่อ.....เราจะเริ่มกันหรือยังครับ ก้องเตรียมอุปกรณ์ไว้ในครัวเรียบร้อยแล้ว เชิญพี่นิคไปที่ห้องครัวดีกว่าฮะ......ส่วนพี่แก้วก็นั่งดูทีวีไปพลางๆ นะ หรือว่าถ้าจะเข้าไปช่วยก้องก็ไม่ว่ากัน แล้วแต่พี่แก้ว ก้องตามใจ”

“ไม่ล่ะก้อง พี่ขออยู่ดูทีวีสบายๆ ดีกว่า ทำเค้กให้สนุกนะ”

แต่ก่อนที่ก้องบดินทร์จะเดินตามหนุ่มร่างสูงเข้าไปในครัว แก้วกัญญาก็กระซิบที่ริมหูน้องชายว่า “อย่าหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นพีล่ะ ทำมาเผื่อให้พี่ชิมด้วย เข้าใจมั๊ย”

คนถูกแซวหน้าแดงก่ำ ก่อนจะรีบเดินตามชายหนุ่มร่างสูงเข้าครัวไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
“โดยทั่วไป เค้กจะมีสามชนิด คือ เค้กเนย เค้กไข่ และชิฟฟอนเค้ก เค้กเนยเป็นเค้กที่มีปริมาณไขมันสูง การขึ้นฟูของเค้กเกิดจากอากาศที่ได้จากการตีเนย โดยเม็ดไขมันจะเก็บอากาศไว้และจะขยายตัวในระหว่างการอบ ส่วนเค้กไข่เนื้อเค้กและปริมาณของเค้กจะขึ้นอยู่กับการขยายตัวของไข่ขาว และชิฟฟอนเค้กเป็นเค้กที่มีส่วนประกอบของไข่เช่นเดียวกัน แต่จะใช้น้ำมันพืชแทนเนย หากน้องก้องต้องการให้เค้กออกมาเนื้อเนียนละเอียดไม่หยาบกระด้าง พี่คิดว่าเค้กเนยน่าจะเหมาะที่สุด นอกจากนี้เราสามารถประยุกต์เค้กเนยให้เป็นเค้กรสชาติอื่นๆ เช่นรสชาเขียวอย่างที่น้องก้องต้องการได้ด้วย” คนร่างสูงร่ายเลคเชอร์ให้กับคนหน้าหวานก่อนที่จะลงมือทำเค้ก สายตาของเขาทอประกายอบอุ่นเมื่อเพ่งมองใบหน้าของคนแก้มป่องที่ขมีขมันจดเลคเชอร์อย่างตั้งใจ ก่อนที่จะปรับสายตาให้เป็นปรกติอย่างรวดเร็วเมื่อก้องเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดเลคเชอร์

“เค้กเนยเหรอพี่นิค ก็ดีนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นเค้กที่มีไขมันสูง แต่เมื่อใส่นมชาเขียวแทนนมสด สารที่อยู่ในชาเขียวก็สามารถกำจัดไขมันและคอเรสเตอรอลในหลอดเลือดได้ แล้วก้องยังรู้มาอีกว่าสารแอนติออกซิแดนซ์ที่อยู่ในชาก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้เหมือนกัน คนที่รักสุขภาพอย่างพีต้องชอบเค้กสูตรนี้แน่ๆ เลย”
 
“โอ้โห น้องก้อง หาข้อมูลมาเพียบเลยนะเนี่ย จะมาคิดสูตรเค้กแข่งกับพี่เหรอคร้าบ” คนร่างสูงเอ่ยแซวคนหน้าหวานพร้อมหัวเราะน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะพี่นิค ผมแค่อยากให้พีเค้าชอบเค้กที่ผมทำให้น่ะ พีเค้าชอบสีเขียว แล้วก็เป็นคนที่รักสุขภาพ และระวังเรื่องอาหารการกิน ก้องก็เลยต้องการคิดสูตรเค้กที่เหมาะกับบุคลิคของพี เลยเลือกที่จะทำเค้กชาเขียวให้พีไง” ก้องบดินทร์พูดถึงคนรักด้วยดวงตาที่ทอแสงเป็นประกาย รอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้ากำลังบ่งบอกว่าเจ้าของรอยยิ้มนั้นมีความสุขเพียงใด มีความสุขจนคนร่างสูงอดที่จะอิจฉาคนรักของก้องบดินทร์ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เฮ้อ.........พี่อิจฉาคุณพีอะไรนี่จังที่มีแฟนน่ารักๆ อย่างน้องก้อง ว่าแต่เรามาเริ่มทำเค้กเลยกันดีกว่า พร้อมหรือยังก้อง”

“พร้อมแล้วครับพี่นิค เริ่มกันเลย”

ก้องบดินทร์เริ่มผสมแป้งเค้กด้วยวิธีครีมเนยหรือที่เรียกว่า creaming method ตามที่พี่นิคได้บอกไว้ โดยคนหน้าหวานแยกทำเค้กออกเป็นสองส่วน ซึ่งทั้งสองส่วนเริ่มต้นเหมือนกันคือตีเนย และน้ำตาลจนขึ้นฟู แล้วเติมไข่ลงไปทีละฟอง จากนั้นเติมแป้งลงไป 1 ส่วนผสมให้เข้ากัน แต่จะต่างกันตรงที่เค้กส่วนที่ 1 ผสมนมสดลงไป 1 ส่วน ในขณะที่เค้กส่วนที่ 2 ผสมชาเขียวนมสดลงไป 1 ส่วน ก้องบดินทร์ผสมแป้งเค้กในแต่ละส่วนให้เนียนเรียบเป็นเนื้อเดียวกัน จนได้เนื้อแป้งเค้กในส่วนที่ 1 เป็นสีขาวครีมละเอียด และในส่วนที่ 2 เป็นสีเขียวอ่อนละมุน หลังจากนั้นคนหน้าหวานก็เตรียมแบบพิมพ์เค้กขนาด 1 ปอนด์ 2 อัน แบบพิมพ์อันแรกก้องบดินทร์เทแป้งเค้กสีขาวครีมลงไปก่อน จากนั้นจึงนำแป้งเค้กทั้งสองสีเทลงไปในแต่ละด้านพร้อมๆ กันจนเต็มแบบพิมพ์ แล้วเขาก็ใช้ตะเกียบคนให้แป้งเค้กเป็นลาย 2 – 3 ที ส่วนแบบพิมพ์อันที่สองก็ทำเหมือนกันเพียงแต่เทแป้งเค้กสีเขียวอ่อนลงไปก่อน เมื่อคนหน้าหวานเทเนื้อแป้งลงไปจนหมด เขาก็นำเค้กไปเข้าเตาอบจนได้ที่ แล้วตกแต่งหน้าเค้กที่มาจากแบบพิมพ์อันที่ 1 ด้วยบัตเตอร์ครีมสีเขียวตองโดยใช้ที่ปาดครีมตบให้คล้ายปุยหิมะแล้วโรยด้วยเม็ดอัลมอลด์ผ่าซีก ส่วนเค้กที่มาจากแบบพิมพ์อันที่สองตกแต่งในรูปแบบเดียวกันเพียงแต่เปลี่ยนจากครีมสีเขียวตองเป็นสีขาว เมื่อแต่งหน้าเค้กเสร็จก้องบดินทร์บรรจงตัดเค้กแต่ละก้อนให้เป็นชิ้นสามเหลี่ยมก้อนละ 8 ชิ้น เค้กที่มาจากแบบพิมพ์อันแรกมีเนื้อเค้กสีครีมละเอียด และมีลายสีเขียวอ่อนแซมอยู่ทั่วไป ส่วนเค้กที่มาจากแบบพิมพ์อันที่สองมีเนื้อเค้กสีเขียวอ่อน และมีลายสีขาวแซม คนร่างสูงเฝ้ามองการกระทำของคนหน้าหวานโดยตลอดทุกขั้นตอน ก่อนที่จะเอ่ยชมออกมาจากใจจริง

“พี่เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่านอกจากก้องจะมาคิดสูตรเค้กแข่งกับพี่แล้ว ก้องยังจะมาออกแบบเค้กแข่งกับพี่ด้วย ดูสิเค้กลายหินอ่อนสลับสี แถมแต่งหน้าเค้กด้วยสีที่ตัดกับเนื้อเค้กอีก ก้องเนี่ยมีพรสวรรค์จริงๆ เลย”

“แหม พี่นิค พี่ก็ชมก้องเกินไปแล้วครับ ก้องอ่ะ ไม่บังอาจไปแข่งกับมือโปรอย่างพี่นิคหรอกครับ” ก้องพูดพลางจัดเรียงเค้กในจานกระเบื้องเคลือบสีส้ม โดยเรียงเค้กจากแบบพิมพ์ที่ 1 สลับกับเค้กจากแบบพิมพ์ที่ 2 ทำให้สีของเค้กในจานสลับกันอย่างสวยงาม

“พี่ไม่ได้พูดเกินไปหรอก ดูซิ ขนาดสีจานที่ใช้ยังหาได้แมทซ์กันขนาดนี้......เขียว ส้ม.....รู้จักใช้สีตรงกันข้ามเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหาร มันทำให้เค้กดูน่ากินขึ้นมาอีกเท่าตัวเลย” คนร่างสูงพูดพร้อมกับหมุนจากเค้กในมือไปมาอย่างพอใจในผลงานของ ลูกศิษย์หน้าหวาน

“สีตรงกันข้ามอะไรนั่นก้องไม่รู้หรอกฮะ ก้องรู้แค่ว่าก้องชอบสีส้ม ก้องก็เลยเอาจานสีส้มมาใช้น่ะฮะ”

“จะได้เข้ากับเค้กสีเขียว สีโปรดของคุณพีใช่มั๊ย” คนร่างสูงพูดขึ้นอย่างรู้ทัน ก่อนจะพบว่าแก้มของคนหน้าหวานซับสีเลือดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เฮ้อ........ทั้งสองคนนี้คงรักกันมากจริงๆ แหะ สงสัยเขาคงต้องยอมยกธงขาวถอยทัพกลับบ้านไปซะแล้วล่ะมั๊ง
.
.
.
หลังจากที่ก้องดินทร์ส่งพี่แก้วและพี่นิคกลับจากคอนโดแล้ว คนหน้าหวานก็นั่งรอคนรักที่โซฟาตัวยาวอย่างใจจดใจจ่อ กว่าเขาจะทำเค้กเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง มือเรียวยาวเอื้อมไปเปิดโน๊ตบุ๊คที่อยู่ตรงหน้าแล้วเข้าเว็บไซต์ดูทีวีย้อนหลัง เพื่อติดตามการแข่งขันของพีรวิชญ์ แล้วเขาก็พบว่าพีรวิชญ์เป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ คนหน้าหวานคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี ก่อนที่จะเอ่ยกับตัวเองอย่างมีความสุข

“ และแล้วเค้กที่ผมทำให้คุณ ก็เป็นเค้กฉลองชัยชนะของคุณนะพี........เฮ้อ..........ดีใจจัง”

 ก้องบดินทร์นั่งรอคนหน้าคมจนเกือบสองทุ่ม แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพีรวิชญ์จะกลับมาถึงห้องแต่อย่างใด คนหน้าหวานกดโทรศัพท์ไปหาคนที่อยู่ในความคิดเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก็เข้าสู่ระบบฝากข้อความเช่นเคย ก้องบดินทร์รู้สึกกระวนกระวายใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  ความเป็นห่วง ความอัดอั้น ความน้อยใจ ผสมผเสปนเปกันจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวย

“พี คุณอยู่ไหน.....ทำไมผมถึงติดต่อคุณไม่ได้ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าอ่ะพี” คนหน้าหวานสะอื้นฮักๆ อย่างน่าสงสาร ก่อนที่จะผล็อยหลับไปบนโซฟาตัวยาวด้วยความอ่อนเพลีย

ก้องบดินทร์สะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่สัมผัสบริเวณแก้มเนียน เปลือกตา และหน้าผากมน คนหน้าหวานรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรีบร้อนเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมพรั่งพรูความในใจออกมามากมายจนคนหน้าเข้มต้องกอดปลอบโยนเอาไว้ไม่ให้ห่างจากตัว

“พี คุณไปไหนมา ทำไมคุณกลับมาถึงช้าขนาดนี้ แล้วทำไมคุณต้องปิดโทรศัพท์ด้วย คุณรู้ไหมว่าวันนี้ผมทำอะไรไปบ้าง ผมเตรียมทำเค้กที่ผมคิดสูตรเองไว้เซอร์ไพรส์คุณตอนคุณกลับมา หวังว่าคุณจะชอบมัน  หวังว่าคุณจะกลับมาฉลองกับผม แต่ผมก็ต้องมานั่งรอคุณเป็นชั่วโมงๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น.....พี  คุณรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณมากแค่ไหนที่ผมติดต่อคุณไมได้เลย โทรไปก็เจอแต่ฝากข้อความ ผมกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป คุณเข้าใจผมมั๊ยพี” ก้องบดินทร์ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของคนรัก ตัวของเขาสั่นเป็นลูกนก หัวใจของพีรวิชญ์กระตุกวูบ ให้ตายเถอะ เค้าไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นดวงตาคู่สวยนั่นฉ่ำไปด้วยน้ำตา คนหน้าเข้มกอดคนรักให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คนหน้าหวานฟังอย่างอ่อนโยน

“ก้อง....ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณต้องไม่สบายใจ วันนี้ผมเสร็จจากสนามแข่งประมาณบ่ายสอง แล้วเพื่อนๆ ที่สนามจัดงานเลี้ยงฉลองให้ผมจนถึงเย็น ผมออกจากงานเลี้ยงมาตอนประมาณหกโมงครึ่ง ระหว่างทางที่ผมขับรถจะกลับคอนโดรถผมก็เกิดเสียขึ้นมากะทันหัน แล้วแถวๆ นั้นก็ไม่มีร้านซ่อม ผมก็เลยต้องโทรเรียกช่าง แล้วกว่าที่ช่างจะมาได้ก็ปาไปชั่วโมงกว่าๆ ผมรอจนช่างซ่อมรถให้ผมเสร็จก็ประมาณสองทุ่มสิบห้า จากนั้นผมก็รีบขับรถกลับมาหาคุณเลยไงครับ แล้วที่โทรศัพท์ผมติดต่อไม่ได้ก็เพราะว่าแบตหมด เมื่อคืนผมลืมชารต์แบตมือถือเอาไว้ โอ๋ๆๆๆๆ นิ่งซะนะคร้าบคนดีของผม ไหน.....เห็นว่าวันนี้คุณทำเค้กสูตรพิเศษให้ผมไม่ใช่เหรอ อยู่ไหนล่ะก้อง ผมตื่นเต้นจัง”  

เมื่อก้องบดินทร์ได้ฟังคำอธิบายจากชายหนุ่มเขาก็รู้สึกดีขึ้น และเมื่อคนหน้าเข้มที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยถามถึงเค้กชาเขียวพร้อมกับส่งรอยยิ้มละลายขั้วโลกมาให้ คนหน้าหวานก็ใจอ่อน รีบลุกขึ้นเดินไปหยิบเค้กชาเขียวออกมาจากตู้เย็นมาวางไว้ตรงหน้าทันที
“โอ้โห....หน้าตาน่ากินนะเนี่ย ไหน ผมขอชิมหน่อยซิว่าฝีมือแฟนผมจะอร่อยขนาดไหน” ว่าแล้วพีรวิชญ์ก็ใช้นิ้วปาดครีมที่ตกแต่งอยู่บนหน้าเค้ก แล้วนำไปป้ายบนแก้มเนียนสวนของคนหน้าหวาน ก้องบดินทร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่จะโวยวายออกมาเสียงดัง

“พี นี่คุณทำอะ...............” เสียงของก้องบดินทร์หยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อคนหน้าคมจรดริมฝีปากลงบนแก้มเนียนบริเวณที่เขาป้ายครีมลงไปเมื่อสักครู่ ลิ้นอุ่นๆ ค่อยๆ ไล้เลียอย่างละเมียดละไม ก้องบดินทร์ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะ ชิมเค้กด้วยวิธีนี้ เมื่อคนหน้าคมเงยหน้าขึ้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าคนหน้าหวานตัวแดงหูแดงเหมือนลูกตำลึงสุก

“อืม.....อร่อยจริงๆ ด้วย หวานมากเลย ผมชอบจัง” คนหน้าคมส่งสายตาระยิบระยับมาให้กับคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าไอที่หวานๆ น่ะ ตกลงมันคนหรือเค้กกันแน่

“เอ้า นั่งนิ่งเชียว......ใบ้กินหรือไงคร้าบคุณก้องบดินทร์ มาม่ะ.....มารับรางวัลจากผมหน่อยเร๊ว” ว่าแล้วคนหน้าคมก็ตบรางวัลให้คนหน้าหวานด้วยการประทับจูบที่ดูดดื่มไปบนเรียวปากคู่สวยของคนตรงหน้า ริมฝีปากหนาดูดดึงกับกลีบปากนุ่มอย่างหยอกล้อ ก่อนที่เขาจะเพิ่มสัมผัสเร่าร้อนขึ้นจนคนหน้าหวานหายใจหอบ มือหนาผลักคนหน้าหวานให้นอนลงบนโซฟาตัวยาว แล้วสาละวนปลดกระดุดเสื้อของคนที่นอนอยู่ข้างล่าง มือสากลูบไล้ไปมาบนแผ่นอกขาวเนียนทำให้ก้องบดินทร์สะดุ้งสุดตัว ก่อนที่จะผลักอกพีรวิชญ์ให้ห่างออกไป แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

“ฮึ่ยยยยย พี คนบ้า.........ผมไม่ยุ่งกับคุณแล้ว” ว่าแล้วคนหน้าหวานก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว คนหน้าเข้มเมื่อเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ ก้องบดินทร์จะรู้ตัวมั๊ยน๊าว่าตัวเองกำลังให้ท่าเขาอย่างน่ารักที่สุด หนีไปไหนไม่หนี ดันวิ่งหนีเข้าห้องนอนซะงั้น  อย่างนี้ก็เสร็จพีรวิชญ์สิคร้าบ.............

ว่าแต่......เดี๋ยวผมตามก้องเข้าไปคอมเม้นต์รสชาตของเค้กชาเขียวต่อดีกว่า เดี๋ยวก้องเค้าจะหาว่าผมไม่สนใจ